อาณาจักรไทย

แบบฝึกหัด

♠ Posted by Unknown in


1. อาณาจักรสุโขทัย มีพระมหากษัตริย์ ปกครองกี่พระองค์

ตอบ..................................................................................

2.อาณาจักรสุโขทัยปกครองรูปแบบใด

ตอบ..................................................................................

...........................................................................................

3.อาณาจักรอยุธยา มีพระมหากษัตริย์ ปกครองกี่พระองค์


ตอบ........................................................................................

4.อาณาอยุธยาปกครองรูปแบบใด

ตอบ.........................................................................................

5.อาณาจักรอยุธยามีพระมหากษัตริย์ ทีได้รับสมัญญานามมหาราช กี่พระองค์ 

ตอบ.........................................................................................

6. อาณา ธนบุรี มีพระมหากษัตริย์ ปกครองกี่พระองค์

ตอบ..................................................................................

7.อาณา ธนบุรี ปกครองรูปแบบใด

ตอบ..................................................................................

8. อาณา รัตน์โกสินทร์ มีพระมหากษัตริย์ ปกครองกี่พระองค์

ตอบ..................................................................................

9.อาณา  รัตน์โกสินทร์ ปกครองรูปแบบใดบ้าง

ตอบ..................................................................................

10. ชื่อเต็ม รัตน์โกสินทร์ มีชื่อว่าอะไร

ตอบ...........................................................................................................................................................

..................................................................................................................................................................



































เฉลย แบบฝึกหัด

1. อาณาจักรสุโขทัย มีพระมหากษัตริย์ ปกครองกี่พระองค์

ตอบ  10 พระองค์

2.อาณาจักรสุโขทัยปกครองรูปแบบใด

ตอบ พ่อปกครองลูก

3.อาณาจักรอยุธยา มีพระมหากษัตริย์ ปกครองกี่พระองค์


ตอบ 33 พระองค์

4.อาณาอยุธยาปกครองรูปแบบใด

ตอบ  สมบูรณาญาสิทธิราชย์ 

5.อาณาจักรอยุธยามีพระมหากษัตริย์ ทีได้รับสมัญญานามมหาราช กี่พระองค์ 

ตอบ  2 พระองค์

6. อาณา ธนบุรี มีพระมหากษัตริย์ ปกครองกี่พระองค์

ตอบ   1 พระองค์

7.อาณา ธนบุรี ปกครองรูปแบบใด

ตอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ 

8. อาณา รัตน์โกสินทร์ มีพระมหากษัตริย์ ปกครองกี่พระองค์

ตอบ  9 พระองค์

9.อาณา  รัตน์โกสินทร์ ปกครองรูปแบบใดบ้าง

ตอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์  , ประชาธิปไตย

10. ชื่อเต็ม รัตน์โกสินทร์ มีชื่อว่าอะไร

ตอบ   กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์











ความเป็นมาของ "อาณาจักร รัตน์โกสินทร์"

"อาณาจักร รัตน์โกสินทร์"



(พ.ศ. 2325- ปัจจุบัน)

การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามปรากฏต่อมาว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และภายหลังได้รับการยกย่องเป็น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์โปรดเกล้าฯให้ย้ายราชธานีมาตั้งที่ตำบลบางกอก ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาตรงข้ามกับฝั่งพระราชวังเดิมของกรุงธนบุรี พระราชทานนามว่า กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ฯ ชื่อนี้ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนสร้อยนามเป็น “อมรรัตนโกสินทร์”
เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชย้ายราชธานี เพราะทรงเห็นข้อบกพร่องของกรุงธนบุรี ดังนี้
1. กรุงธนบุรีเป็นเมืองอกแตก คือ ประกอบด้วยอาณาเขตทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเกิดศึกสงครามจะทำให้เกิดความยากลำบากในการเคลื่อนย้ายหรือลำเลียงอาหารและอาวุธข้ามแม่น้ำ
2. กรุงธนบุรีตั้งอยู่บนท้องคุ้งน้ำเซาะตลิ่งพังไปเรื่อยๆ
เหตุผลที่ทรงเลือกตำบลบางกอกเป็นที่ตั้งราชธานีแห่งใหม่ ได้แก่
1. ที่ตั้งราชธานีใหม่สามารถใช้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคูเมืองได้ หากบ้านเมืองขยายตัวขึ้นก็ขุดคลองใหม่ได้
2. ฝั่งพระนครมีอาณาบริเวณกว้างขวาง ขยายบ้านเมืองออกไปได้สะดวก
การเมืองสมัยรัตนโกสินทร์
ลักษณะทางการเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีลักษณะของความร่วมมือและการประนีประนอมทางการเมือง โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างพระราชวงศ์กับตระกูลขุนนาง
การที่พระมหากษัตริย์ทรงดำเนินนโยบายผ่อนปรนให้พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางสามารถทำการค้ากับต่างประเทศได้ เปิดโอกาสให้แสวงหาโภคทรัพย์และความมั่นคั่งทางเศรษฐกิจ มีผลต่อการรักษาสัมพันธภาพตลอดจนเป็นการสร้างดุลอำนาจทางการเมืองระหว่างพระมหากษัตริย์กับกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์และกลุ่มขุนนางไปด้วย
ความมีเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบการเมืองของกรุงรัตนโกสินทร์ทำให้ไทยฟื้นฟูสู่ความมั่นคงและรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ไทยประสบปัญหาเผชิญหน้ากับการขยายอิทธิพลของชาติมหาอำนาจจักรวรรดินิยมตะวันตก คือ อังกฤษและฝรั่งเศส เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมอำนาจทางการเมืองและสังคมไทย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนมีความใกล้ชิดกันมากกว่าแต่ก่อน
ใน พ.ศ. 2413 หลังจากรัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ได้ 2 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวางรากฐานทางอำนาจด้วยการตั้งกรมทหารมหาดเล็กขึ้นเพื่อสร้างฐานพระราชอำนาจของกษัตริย์ และในต้น พ.ศ. 2416 ได้ทรงออกพระราชบัญญัติหอรัษฎากรพิพัฒน์ รวมการเก็บภาษีเข้าสู่ศูนย์กลาง ซึ่งเป็นการลิดรอนอำนาจของกรมกองต่างๆที่เคยมีหน้าที่เก็บภาษี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพยายามรวมอำนาจเข้าสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการตราพระราชบัญญัติขึ้นหลายฉบับ เป็นการปฏิรูปด้านกฎหมาย การคลัง และสังคม แต่การปฏิรูปดังกล่าวก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายวังหลวงกับวังหน้า รัชกาลที่ 5 จึงต้องชะลอการปฏิรูปในด้านต่างๆแต่ต่อมาก็สามารถดึงอำนาจเข้าสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้
ต่อมากลุ่มเจ้านายและข้าราชการซึ่งได้รับการศึกษาจากทวีปยุโรป ซึ่งเรียกว่า กลุ่มก้าวหน้า ร.ศ. 103 ได้นำความกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ปรับปรุงการปกครองของประเทศให้เป็นแบบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่รัชกาลที่ 5 ตอบว่าเมืองไทยในขณะนั้นขัดสนคนมีความรู้ และยังไม่พร้อมที่จะปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงต้นรัชกาล คือ กบฏ ร.ศ. 130 (พ.ศ. 2454 ) เกิดขึ้นจากกลุ่มนายทหารหนุ่มและพลเรือนกลุ่มหนึ่งได้ตั้งขบวนการที่จะก่อการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา แต่ก็ประสบความล้มเหลวเนื่องจากถูกจับกุมเสียก่อน
หลังจากกบฏ ร.ศ. 130 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามชี้ให้เห็นว่า ระบอบราชาธิปไตยเหมาะสมที่สุดสำหรับเมืองไทย ทรงชี้ให้เห็นความยุ่งยากของการปกครองระบอบประชาธิปไตยและสาธารณรัฐ ทรงปลุกความรู้สึกชาตินิยมโดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกันก็ทรงพยายามพัฒนาความรู้ความคิดของพลเมืองให้มากขึ้น และทรงจัดตั้งดุสิตธานีเพื่อฝึกให้ขุนนางและข้าราชการทดลองปกครองและบริหารราชการท้องถิ่น
ในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงสนับสนุนการปกครองที่มาจากประชาชน โดยฝึกหัดประชาชนให้รู้จักใช้สิทธิในการออกเสียงควบคุมกิจการท้องถิ่นเป็นลำดับแรก ก่อนที่จะเข้ามาควบคุมกิจการของรัฐในรูปของรัฐสภา
ในรัชกาลนี้มีการร่างรัฐธรรมนูญถึง 2 ฉบับ แต่ยังไม่ประกาศใช้ด้วยเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา แผนพัฒนาการปกครองของรัชกาลที่ 7 สิ้นสุดลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้กฎหมายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงหลังสงครามเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ดังจะเห็นได้จากรัฐบาลในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีหลายชุด แต่ละชุดมีเวลาบริหารประเทศไม่นาน และรัฐบาลก็มีความเคารพในระบบรัฐสภา โดยรัฐบาลทุกชุดจะลาออกเมื่อไม่ผ่านการลงคะแนนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
หลังจากเหตุการณ์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 มีเหตุการณ์การจับกุมผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้นักเรียน นักศึกษา นิสิต ประชาชนจำนวนมากประท้วงรัฐบาล รัฐบาลได้ส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามจนเกิดการจลาจล มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตได้สิ้นสุดลง ประเทศไทยมีรัฐบาลพลเรือนกับรัฐบาลทหารสลับกัน และมีการทำรัฐประหารเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง รัฐประหารครั้งสำคัญเกิดขึ้นในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ต่อมามีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่ให้อำนาจการเมืองภาคประชาชน หลังจากนั้นก็เกิดการแบ่งแยกในหมู่ชาวไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ความแตกแยกดังกล่าวนี้ลุกลามและรุนแรงขึ้น และยังมองไม่เห็นทางที่จะยุติปัญหา
เศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นก่อนทำสนธิสัญญาเบาว์ริงสภาพทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในรูปแบบของเศรษฐกิจพอยังชีพ ราษฎรมีอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก อาจจะมีหัตถกรรมและอุตสาหกรรมพื้นบ้านแบบเก่าที่ทำด้วยมือบ้าง เมื่อได้ผลิตผลก็จะนำมาแลกเปลี่ยนกัน
ส่วนรายได้ของรัฐที่นำมาป้องกันและทำนุบำรุงประเทศได้มาจากการเก็บภาษีอากร เงินค่าราชการจากไพร่ เงินค่าผูกปี้ชาวจีน รวมทั้งผลกำไรจากการค้ากับต่างประเทศ
ในสมัยรัชกาลที่ 2 รัฐประสบปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่ายจึงเพิ่มภาษีอากรอีกหลายอย่าง ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 3 เศรษฐกิจของประเทศมีการเจริญเติบโตขึ้น และการขยายตัวทางการค้ากับต่างประเทศมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น รัฐจึงปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษี โดยเพิ่มภาษีอีก 38 ชนิด การค้ากับประเทศต่างๆในเอเชีย โดยเฉพาะการค้ากับประเทศจีนเจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สินค้าออกส่วนใหญ่ได้มาจากส่วยที่เรียกเก็บจากราษฎรซึ่งเป็นของพื้นเมืองหายาก เช่น ทองคำผง เงิน ป่าน ครั่ง ฝาง ไม้แดง งาช้าง นอระมาด ส่วนสินค้าเข้าส่วนใหญ่จะเป็นประเภทสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งบริโภคในกลุ่มชนชั้นสูง ได้แก่ ผ้าฝ้าย ผ้าแพร เครื่องลายคราม ใบชา หีบประดับมุก เครื่องแก้ว
ในปลายสมัยรัชกาลที่ 3 การค้าทางเรือได้เปลี่ยนจากใช้เรือสำเภามาเป็นเรือกำปั่นเพราะเดินทางได้เร็วกว่า ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยได้ทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงครั้งนี้ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก เช่น การค้าขยายตัวเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ระบบทุนนิยมโลก เกิดระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา เกิดการปฏิรูประบบภาษีอากรและการคลัง
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457-2461 ) ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำอย่างรุนแรงใน พ.ศ. 2472 ได้กระทบกระเทือนมาถึงประเทศไทยด้วย ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างยิ่ง รัฐบาลไม่สามารถหารายได้หรือมีงบประมาณมากพอที่จะนำมาใช้จ่ายในการบริหารประเทศและจ่ายเงินเดือนแก่ข้าราชการ รัฐบาลแก้ไขปัญหาโดยการตัดทอนรายจ่ายของประเทศอย่างจริงจังแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การที่ไทยถอนตัวจากมาตรฐานทองคำโลกเมื่อ พ.ศ. 2475 ก็ช่วยให้ไทยส่งสินค้าขาออกคือข้าวได้มาก นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงภาษีให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น แล้วใช้ระเบียบภาษีใหม่ที่เรียกว่า ประมวลรัษฎากร ซึ่งเก็บภาษีเงินได้ตามฐานะของราษฎร
เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 มีผลกระทบกับเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก คนไทยเดือดร้อนเรื่องภาวะการครองชีพ สินค้าทุกประเภทจึงขาดตลาดอย่างรวดเร็วและมีราคาสูงเกินรายได้ของประชาชน และมีสินค้าหลายอย่างหาซื้อไม่ได้โดยเฉพาะน้ำมัน เกิดการค้าตลาดมืด การกักตุนสินค้าและการฉ้อราษฎร์บังหลวง ส่วนค่าครองชีพสูงขึ้น
การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจแบบชาตินิยมได้ถูกยกเลิกเมื่อจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ใน พ.ศ. 2500 หลังจากนั้นรัฐบาลคณะปฏิวัติได้ดำเนินนโยบายเปิดเสรีด้านการลงทุนทางเศรษฐกิจ โดยการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ใน พ.ศ. 2504 พัฒนาการของระบบเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบทุนนิยมเสรีอย่างเต็มที่
สังคมสมัยรัตนโกสินทร์
โครงสร้างสังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงเป็นแบบอยุธยา ขณะเดียวกันสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มขยายตัวทำให้มีความต้องการผลผลิตเพื่อการค้าเพิ่มขึ้น ชาวจีนหลั่งไหลเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างมาก นอกจากนี้ยังมีชนชาติอื่นอีกเช่น มอญ ลาว พม่า ญวน เขมร มลายู ซึ่งถูกกวาดต้อนเข้ามาเนื่องจากสงครามบ้าง และเข้ามาด้วยความสมัครใจบ้าง ต่างแยกย้ายประกอบอาชีพตามจังหวัดต่างๆ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายอย่างจากยุคสมัยแบบจารีตไปสู่ยุคสมัยใหม่ ทรงมีความพยายามจะปรับปรุงฐานะของสามัญชนหรือไพร่ให้มีเสรีภาพมากขึ้นในหลายๆด้าน
ในรัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนแปลงสถานะของไพร่ให้เป็นพลเมือง ปลดปล่อยลูกทาสซึ่งนำไปสู่การเลิกทาส และปฏิรูปการศึกษาโดยการจัดตั้งโรงเรียนในวัดสำหรับราษฎรขึ้น
เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 5 โครงสร้างของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก ภายหลังก็มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ในสมัยรัชกาลที่ 6 คนรุ่นใหม่ได้รับการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆชนชั้นปัญญาชนขยายตัวมากขึ้น ทำให้วิทยาการและวัฒนธรรมตะวันตกเข้าสู่เมืองไทย ทั้งโดยตรงและผ่านทางการเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น
สภาพทางสังคมในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในทางปฏิบัติยังคงมีการแบ่งชนชั้นตามลักษณะการครองชีพ สภาพทางสังคมมีการแบ่งชนชั้นอย่างเด่นชัดระหว่างเจ้านายกับสามัญชนความแตกต่างระหว่างชนชั้นเกี่ยวกับสิทธิอำนาจที่แตกต่างกันทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกและความรู้สึกต่อต้านของสามัญชนที่มีต่อเจ้านายจนนำไปสู่การปฏิวัติ พ.ศ. 2475
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานการณ์ของโลกตึงเครียดจากการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ รัฐบาลไทยจึงดำเนินนโยบายเร่งพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อต่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ด้วยการมีสัมพันธภาพกับโลกเสรี โดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกา นโยบายดังกล่าวสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายประการ คือ มีการฟื้นฟูฐานะและบทบาทของสถาบัน พระมหากษัตริย์ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ มีการขยายตัวการศึกษาภาคบังคับและตั้งมหาวิทยาลัยในภูมิภาคต่างๆ เศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวทำให้แรงงานภาคเกษตรกรรมย้ายไปเป็นแรงงานภาคอุตสาหกรรม รัฐบาลดำเนินนโยบายผูกพันกับสหรัฐอเมริกา เพื่อมุ่งรับความช่วยเหลือด้านการทหารและเศรษฐกิจ และเกิดชนชั้นล่างขึ้นในสังคมไทย


ประวัติของรัชกาลที่ 1-9


พระราชประวัติรัชกาลที่ แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช(ประสูติ พ.ศ. 2279 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2352)
มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง  
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี
ทรงพระนามเต็มว่า
พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์
 ธรณินทราธิราชรัตนากาศภาสกรวงศ์องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตน
 ชาติอาชาวศรัย สมุทัยวโรมนต์สกลจักรฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทรหริหรินทรธาดาธิ
 บดี ศรีสุวิบุลยคุณธขนิษฐ์ ฤทธิราเมศวรมหันต์บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพา
 ดิเทพนฤดินทร์ภูมินทรปรามาธิเบศร โลกเชฎฐวิสุทธิ์รัตนมกุฎประเทศคตามหาพุทธางกูร
 บรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว "

               ทรงประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 พระราชบิดาทรงพระนามว่า ออกอักษรสุนทร
 ศาสตร์ พระราชมารดาทรงพระนามว่า ดาวเรือง มีบุตรและธิดารวมทั้งหมด คน คือ
               คนที่ เป็นหญิงชื่อ "สา" ( ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี )

               คนที่ เป็นชายชื่อ "ขุนรามนรงค์" ( ถึงแก่กรรมก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 2 )

               คนที่ เป็นหญิงชื่อ "แก้ว" ( ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ )

               คนที่ เป็นชายชื่อ "ด้วง" (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช )

               คนที่ เป็นชายชื่อ "บุญมา" ( ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระอนุชาธิราช )
               เมื่อเจริญวัยได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอุทุมพร
               พระชนมายุ 21 พรรษา ออกบวชที่วัดมหาทลาย แล้วกลับมาเป็นมหาดเล็กหลวงในแผ่นดินพระเจ้าอุทุมพร
               พระชนมายุ 25 พรรษา ได้รับตัวแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตร ประจําเมืองราชบุรีในแผ่นดินพระที่นั่งสุริยามรินทร์ พระองค์ได้วิวาห์กับธิดานาค ธิดาของท่านเศรษฐี
ทองกับส้ม
              พระชนมายุ 32 พรรษา ในระหว่างที่รับราชการอยู่กับพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เลื่อน
ตําแหน่งดังนี้
              พระชนมายุ 33 พรรษา พ.ศ. 2312 ได้เลื่อนเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ เมื่อพระเจ้า
กรุงธนบุรีปราบชุมนุมเจ้าพิมาย
              พระชนมายุ 34 พรรษา พ.ศ. 2313 ได้เลื่อนเป็นพระยายมราชที่สมุหนายก
เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง
              พระชนมายุ 35 พรรษา พ.ศ. 2314 ได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาจักรี เมื่อคราวเป็น
แม่ทัพไปตีเขมรครั้งที่ 2
              พระชนมายุ 41 พรรษา พ.ศ. 2321 ได้เลื่อนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
เมื่อคราวเป็นแม่ทัพใหญ่ไปตีเมืองลาวตะวันออก
              พ.ศ. 2323 เป็นครั้งสุดท้ายที่ไปปราบเขมร ขณะเดียวกับที่กรุงธนบุรีเกิดจลาจล
จึงเสด็จยกกองทัพกลับมากรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2325 พระองค์ทรงปราบปราม
เสี้ยนหนามแผ่นดินเสร็จแล้วจึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติปราบดาภิเษก แล้วได้มี
พระราชดํารัสให้ขุดเอาหีบพระบรมศพของพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นตั้ง ณ เมรุวัดบาง
ยี่เรือพระราชทานพระสงฆ์บังสุกุลแล้วถวายพระเพลิงพระบรมศพ เสร็จแล้วให้มี
การมหรสพ


พระราชประวัติรัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
(ประสูติ พ.ศ. 2310 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2353 - พ.ศ. 2367)
มีพระนามเดิมว่า ฉิม

              พระราชประวัติ
              พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงประสูติเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 ตรงกับวันพุธ ขึ้น คํ่า เดือน ปีกุน มีพระนามเดิมว่า "ฉิม" พระองค์ทรงเป็นพระบรมราชโอรสองค์ที่ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประสูติ ณ บ้านอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นหลวงยกกรับัตรเมืองราชบุรี พระบิดาได้ให้เข้าศึกษากับสมเด็จพระวันรัต ( ทองอยู่ ) ณ วัดบางหว้าใหญ่ พระองค์ทรงมีพระชายาเท่าที่ปรากฎ 
1. กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระอัครมเหสี
2. กรมสมเด็จพระศรีสุราลัย พระสนมเอก ขณะขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2352 มีพระชนมายุได้ 42 พรรษา 
             พระราชกรณียกิจที่สําคัญ 
พ.ศ. 2317 ขณะที่เพิ่งมีพระชนมายุได้ พรรษา ได้ติดตามไปสงครามเชียงใหม่ อยู่ในเหตุการณ์ครั้งที่บิดามีราชการไปปราบปรามเมืองนางรอง นครจําปาศักดิ์ และบางแก้ว ราชบุรี จนถึงอายุ 11 พรรษา
พ.ศ. 2322 พระราชบิดาไปราชการสงครามกรุงศรีสัตนาคนหุต ก็ติดตามไป
พ.ศ. 2323 พระชนมายุ 13 พรรษา ได้เข้าเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่ )
พ.ศ. 2324 พระราชบิดาได้เลื่อนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ไปร่วมปราบปรามเขมรกับพระบิดา
พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ปราบดาภิเษกแล้วได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร"
พ.ศ. 2329 พระชนมายุ 19 พรรษา ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามตําบลลาดหญ้า และทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ
พ.ศ. 2330 ได้โดยเสด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามที่ตําบลท่าดินแดง และตีเมืองทวาย
พ.ศ. 2331 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นพระองค์แรกที่อุปสมบทในวัดนี้ เสด็จไปจําพรรษา เมื่อครบสามเดือน ณ วัดสมอราย ปัจจุบันคือวัดราชาธิราช ครั้นทรงลาผนวชในปีนั้น ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จเจ้าหญิงบุญรอด พระธิดาในพระพี่นางเธอ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์
พ.ศ. 2336 โดยเสด็จพระราชบิดาไปตีเมืองทวาย ครั้งที่ 2
พ.ศ. 2349 ( วันอาทิตย์ เดือน ขึ้น คํ่า ปีขาล ) ทรงพระชนมายุได้ 40 พรรษาได้รับสถาปนาเป็น "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" ซึ่งดํารงตําแหน่งพระมหาอุปราชขึ้นแทน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ที่ได้สวรรคตแล้วเมื่อ พ.ศ.2346


พระราชประวัติรัชกาลที่ แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ประสูติ พ.ศ. 2330 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2367 - พ.ศ. 2394)
มีพระนามเดิมว่า พระองค์ชายทับ 
             พระราชประวัติ
             พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ แห่งราชวงศ์จักรี เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุราลัย ( เจ้าจอมมารดาเรียม ) ประสูติ ณ วันจันทร์ เดือน แรม 10 คํ่า ปีมะแม ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2330 มีพระนามเดิมว่า "พระองค์ชายทับ"
             พ.ศ. 2365 พระองค์ชายทับ ได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์กํากับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระตํารวจว่าการฎีกา นอกจากนี้ยังได้ทรงรับพระกรุณาให้แต่งสําเภาหลวงออกไปค้าขาย ณ เมืองจีน พระองค์ทรงได้รับพระสามัญญานามว่า "เจ้าสัว"
             ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชการที่ ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต โดยมิได้ตรัสมอบราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสองค์ใด พระบรมวงศานุวงศ์ และบรรดาเสนาบดีผู้เป็นประทานในราชการจึงปรึกษากัน เห็นควรถวายราชสมบัติแก่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ อันที่จริงแล้วราชสมบัติควรตกแก่ เจ้าฟ้ามงกุฎ ( พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ) เพราะเจ้าฟ้ามงกุฎ เป็นราชโอรสที่ประสูติจากสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลที่ โดยตรง ส่วนกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นเพียงราชโอรสที่เกิดจากเจ้าจอมเท่านั้น โดยที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งพระราชหฤทัยไว้แล้วว่าเมื่อสิ้นรัชกาลพระองค์แล้วจะคืนราชสมบัติ ให้แก่สมเด็จพระอนุชา ( เจ้าฟ้ามงกุฎ) ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงสถาปนาพระบรมราชินี คงมีแต่เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม 
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ในวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ขึ้น คํ่า เดือน ปีวอกฉศก มี

พระชนมายุได้ 37 พรรษา 
พระราชประวัติรัชกาลที่ แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ประสูติ พ.ศ. 2347 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2393 - พ.ศ. 2411)
มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้ามหามาลา 
             พระราชประวัติ
             พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ตรงกับปีชวด มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้ามหามาลา ขณะนั้นพระราชบิดายังดัารงพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาอักขะสมัยกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อพระชนมายุได้ พรรษา ได้รับสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ มีพระราชอนุชาร่วมพระราชมารดา คือ เจ้าฟ้าจุธามณี ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
             เมื่อพระชนมายุได้ พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถก็โปรดให้มีการพระราชพิธีลงสรง ( พ.ศ. 2355 ) เป็นครั้งแรกที่กระทําขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์ ได้รับพระราชทานนามจารึกในพระสุพรรณปัฎว่า " สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทววงศ์พงศ์อิสรค์กษัตริย์ ขัตติยราชกุมาร " สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ เมษายน พุทธศักราช 2394 ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" เรียกขานในหมู่ชาวต่างชาติว่า "คิงส์มงกุฎ" ขณะที่พระองค์ขึ้นเสวย สิริราชย์สมบัตินั้น พระชนมายุ 37 พรรษา
             เมื่อได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้วทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ( พระนามเดิมเจ้าฟ้าจุธามณีโอรสองค์ที่ 50 ของรัชกาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ) ขึ้นเป็นสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีฐานะเสมือนพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง

พระราชประวัติรัชกาลที่ แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ประสูติ พ.ศ. 2396 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2411 - พ.ศ. 2453)
มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ 
             พระราชประวัติ
             พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า " เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ " เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ( สมเด็จพระนางรําเพยภมรภิรมย์ ) พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ตรงกับวันอังคาร แรม คํ่า เดือน 10 ได้ทรงรับสถาปนาเป็นกรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ และกรมขุนพอนิจประชานาถ
             ด้านการศึกษา พระองค์ทรงได้รับการศึกษาเป็นมาอย่างดี คือ ทรงศึกษาอักษรศาสตร์ โบราณราชประเพณี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาไทยรัฐประศาสนศาสตร์ วิชากระบี่ กระบอง วิชาอัศวกรรม วิชามวยปลํ้า การยิงปืนไฟ เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติโดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สําเร็จราชการ พ.ศ.2410 พระเจ้านโปเลียนที่ แห่งฝรั่งเศส ได้ส่งพระแสงกระบี่มาถวาย ครั้นพระชนมายุครบที่จะว่าราชการได้ พระองค์จึงได้ทรงทําพิธีราชาภิเษกใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2416 ทําให้เกิดผลใหญ่ ข้อ 
1. ทําให้พวกพ่อค้าชาวต่างประเทศหันมาทําการติดต่อกับพระองค์โดยตรง เป็นการปลูกความนิยมนับถือกับชาวต่างประเทศได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
2. ทําให้พระองค์ มีพระราชอํานาจที่จะควบคุมกําลังทหารการเงินได้โดยตรงเป็นได้ทรงอํานาจในบ้านเมืองโดยสมบูรณ์

พระราชประวัติรัชกาลที่ แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ประสูติ พ.ศ. 2423 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2453 - พ.ศ. 2468)
มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ 
            พระราชประวัติ
            พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันเสาร์ที่ มกราคม พ.ศ. 2421 พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ( สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี ) เมื่อยังทรงพระเยาว์ทรงพระนามว่า "สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ" ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดี ในปี พ.ศ. 2431 และต่อมาในปี พ.ศ. 2437 สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมารดํารงตําแหน่งรัชทายาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ จึงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมาร ดํารงตําแหน่งรัชทายาทแทน

พระราชประวัติรัชกาลที่ แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ประสูติ พ.ศ. 2436 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2468 - พ.ศ. 2477)
มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดช กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา 
              พระราชประวัติ
              พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นโอรสองค์ที่ 76 ทรงเป็นพระโอรสองค์เล็กของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงประสูติแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ นับว่าเป็นพระราชโอรสองค์เล็กสุด ประสูติ เมื่อวันที่ พฤศจิการยน พ.ศ. 2436 ตรงกับวันพุธ แรม 14 คํ่า เดือน 11 ปีมะเส็ง ทรงพระนามเดิมว่า " เจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดช กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา 
              เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 12 พรรษา พระองค์ได้เข้าศึกษา ในวิทยาลัยทหารบก ณ ประเทศอังกฤษจนจบและได้เสด็จกลับมารับราชการในรัชกาลที่ ซึ่งเป็นพระเชษฐาธิราชของพระองค์ โดยได้รับยศเป็นนายพันโททหารบกมีตําแหน่งเป็นราชองครักษ์ และผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยชั้นประถม ต่อมาภายหลังได้เลื่อนตําแหน่งเป็นลําดับจนเป็นนายพันเอก มีตําแหน่งเป็นปลัดกรมเสนาธิการทหารบก ก่อนขึ้นครองราชสมบัติมีตําแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2

พระราชประวัติรัชกาลที่ แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
(ประสูติ พ.ศ. 2468 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2472 - พ.ศ. 2489)
มีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล 
             พระราชประวัติ
             พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ตรงกับวันขึ้น คํ่า เดือน 11 ปีฉลู ณ เมืองไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมันนี ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ของสมเด็จพระราชบิดาเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ทรงมีพระพี่นางและพระอนุชาร่วมสมเด็จพระราชบิดาและสมเด็จพระราชชนนีเดียวกันคือ 
1. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
2. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช 
พ.ศ. 2472 สมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชกรมหลวงสงขลานครินทร์เสด็จทิวงคต
พ.ศ. 2474 พระองค์ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี ถนนเพลินจิต
พ.ศ. 2476 เสด็จพระราชดําเนินไปทวีปยุโรป ประทับ ณ เมืองโลซานน์ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
พ.ศ. 2477 ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ มีนาคม พ.ศ. 2477 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดาที่จะสืบราชสันตติวงศ์ และด้วยความเห็นชอบของผู้สําเร็จราชการแผ่นดินที่ได้ดําเนินการไปตามกฎมณเฑียรบาล
พ.ศ. 2481 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จพระราชดําเนินกลับเยี่ยมประเทศไทยพร้อมด้วยสมเด็จพระชนนี สมเด็จพระพี่นางเธอและสมเด็จพระเจ้าน้องเธอ ได้ทรงประประทับอยู่ที่พระตําหนักจิตรลดารโหฐานประมาณ เดือน จึงเสด็จไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อเข้าศึกษาวิชานิติศาสตร์ และการปกครองในมหาวิทยาลัยประเทศนั้น
 พ.ศ. 2488 วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2488 พระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะ จึงเสด็จกลับมาถึงประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง และในวันที่ ธันวาคม พ.ศ. 2488 ได้ทรงประทับอยู่ ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวังผู้สําเร็จราชการแทนคนล่าสุดคือ นายปรีดี พนมยงค์ ได้ถวายพระราชภารกิจแด่พระองค์เพื่อได้ทรงบริหารเต็มที่ตามพระราชอํานาจ

พระราชประวัติรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
(ประสูติ พ.ศ. 2470 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2489 - ปัจจุบัน) 
             พระราชประวัติ
             พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงสมภพเมื่อวันที่ ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ เมืองเคมบริจดจ์มลรัฐเมสสาชูเสท ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงเป็นพระราชโอรสาธิราช องค์ที่ ในสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ( สมเด็จพระศรีนครินทรทรา บรมราชชนนี ) พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์เล็ก ทรงมีพระเชษฐาธิราชว่า " พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล " พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชกาลที่ และมีพระพี่นาง พระนามว่า " สมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา "
             พระองค์ได้เสด็จกลับเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากพระบรมเชษฐาเมื่อวันที่ มิถุนายน พ.ศ. 2489 ขณะมีพระชันษา 19 ปี ก่อนครองราชย์ได้ทรงศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์และได้เสด็จกลับไปศึกษาวิชานิติศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ต่ออีกภายหลังที่ได้ครองราชย์แล้ว
             ทรงสนพระทัยในอักษรศาสตร์ และการดนตรีทรงรอบรู้ภาษาต่างประเทศหลายภาษาและตรัสได้อย่างคล่องแคล่ว จนเป็นที่ประจักษ์แก่คณะทูตานุทูตและประชาชนชาวเมืองนั้นๆ เป็นอย่างดี ต่างพากันชมว่า พระองค์ทรงมีความรู้ทันสมัยที่สุดพระองค์หนึ่ง สําหรับดนตรีนั้นทรงประพันธ์เนื้อร้องและทํานองเพลงแด่คณะวงดนตรีต่างๆ มีเพลงพระราชนิพนธ์ที่คนไทยรู้จักเช่น เพลงสายฝน เพลงประจํามหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ เพลงประจํามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พระองค์เคยเข้าร่วมวงดนตรีกับชาวต่างประเทศมาแล้ว โดยไม่ถือพระองค์

การเสียดินแดน สมัยรัตน์โกสินทร์